มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทยเป็นที่สองรองจากมะเร็งปากมดลูกมักเกิดในหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปและพบมากในหญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรน้อยและในผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเคยเป็นมะเร็งเต้านมหญิงอายุน้อยหรือชายก็อาจเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่พบได้น้อย

มะเร็งเต้านม – Breast Cancer
* สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่นอน แต่ในทางระบาดวิทยาอาหารไขมันสูง มีส่วน ทำให้เกิดโรคได้ ตำแหน่งเกิดของมะเร็งเต้านมมักเป็นที่ส่วนบนด้านนอกของ เต้านมมากกว่า ส่วนอื่น

ลักษณะอาการของโรค
* เริ่มจากการคลำก้อนไม่ได้จนถึงมีก้อนเล็กๆ ขึ้นที่เต้านม ส่วนมากจะไม่มีอาการ เจ็บปวด
* ก้อนจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ท ำให้เต้านมมีลักษณะผิดไป อาจทำให้เต้านมใหญ่ขึ้น หรือบางชนิดทำให้เต้านมแข็ง หดตัวเล็กหรือแบนลงได้ ก้อนมะเร็งอาจจะรั้งให ้หัวนมบุ๋ม เข้าไปจากระดับเดิม หรือทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านม
มีลักษณะ หยาบ และขรุขระบางรายเมื่อบีบบริเวณหัวนมจะมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลซึมออกมา มะเร็งจะลุกลาม แพร่กระจายจากตำแหน่งที่เกิดได้อย่างรวดเร็วไปตาม หลอดเลือด และน้ำเหลืองสู่อวัยวะอื่นๆ
* บริเวณที่พบการแพร่กระจายได้เร็วและบ่อยที่สุดได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ที่รักแร้
* ในรายที่เป็นมากแล้วเนื้อมะเร็งบางส่วนจะเน่าตาย ทำให้เกิดเป็นแผลขยายกว้างออกไป และมีกลิ่นเหม็นจัด

การตรวจวินิจฉัยและรักษา
* การตรวจพบและรักษามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะมีโอกาสหายขาดได้
* การตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งเป็นประจำ หลังหมดประจำเดือน 7 วัน และ การตรวจโดยเอ็กซเรย์เต้านม ช่วยให้พบความผิดปกติ หรือก้อนมะเร็งได้ ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
* การรักษานั้นอาจทำโดยการผ่าตัดการบำบัดทางรังสี และการใช้ยาสังเคราะห์บางประเภท ทั้งนี้อาจจะให้การรักษาโดยวิธีการเดียวหรือร่วมกันไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลการ ตรวจพิเศษ ของชิ้นเนื้อมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองที่ผ่าตัดออกมา

ข้อพึงปฏิบัติ
* ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งเป็นประจำ หลังหมดประจำเดือน 7 วัน หากพบก้อนหรือสิ่งผิดปกติใด ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
* ให้ความร่วมมือในการรักษา อย่าหลงเชื่อและเสียเวลาไปกับการรักษาโรคมะเร็ง ด้วย วิธีการ ทางไสยศาสตร์และยากลางบ้าน เพราะมะเร็งนั้นจะโตขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะหายขาดจะลดลง ทุกขณะ
* พึงระลึกเสมอว่ามะเร็งของเต้านมหรืออวัยวะใดก็ตาม ถ้าได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น เร็วเท่าไร ความหวังที่โรคจะหายขาดก็ยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น

มะเร็งเต้านม(Breast Cancer)
Incidence and Risk Factors

สถาบันมะเร็งแห่งชาติในปี พ.ศ. 2538 มะเร็งเต้านมพบบ่อยเป็นอันดับที่ 3 ของมะเร็งในหญิงไทยรองลงมาจากมะเร็งตับและมะเร็งปากมดลูกเท่านั้น โดยมีอุบัติการ 13.5 ต่อประชากรแสนคนและมีแนวโน้มที่จะมีอุบัติการสูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับโรงพยาบาลจุฬา-ลงกรณ์ ในปี พ.ศ. 2537-2539 มะเร็งเต้านม พบบ่อยเป็นอันดับที่สอง รองลงมาจากมะเร็งปากมดลูก หรือคิดเป็น 15.2-19.1% ของมะเร็งในผู้ป่วยหญิง

Presentation and Natural History

ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมักจะมาพบแพทย์ด้วยคลำก้อนได้ที่เต้านม ตำแหน่งที่พบบ่อยมากที่สุดคือ upper outer quadrant ประมาณ 40% ของผู้ป่วยทั้งหมด อาการและอาการแสดงอื่น ๆ เช่น มีอาการปวดเต้านม, มีของเหลวเป็นน้ำเหลืองปนเลือดออกทางหัวนม, มีก้อนที่รักแร้, มีผิวหนังของเต้านมบวมแดงและรู้สึกเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นต้น ประมาณ 10% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมาพบแพทย์เมื่อมีการแพร่กระจายของโรคสู่อวัยวะอื่น ๆ แล้ว การเกิดมะเร็งเต้านมพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง พบได้น้อย ประมาณ 1-2% เท่านั้น แต่จะพบ metachonous bilateral breast cancer ได้ 5-8%

มะเร็งเต้านม จะมีการลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองได้บ่อย โดยทั่วไปแล้วมักจะลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้เป็นอันดับแรก ประมาณ 20% ของผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร (

T1 lesion

) จะมีการกระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และสูงถึง 45% เมื่อก้อนมะเร็งขนาด 2-5 เซนติเมตร 8-10
(T2 lesion) ตำแหน่งของก้อนมะเร็งในเต้านมก็มีผลต่อการกระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่จุดต่าง ๆ เช่นกัน

การกระจายของโรคเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง internal mammary และ supraclavicular areas เกิดขึ้นได้แต่พบไม่บ่อย อุบัติการของการกระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง internal mammary มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งของก้อนมะเร็งและการลุกลามของต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ 11 ผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งบริเวณ upper outer quadrant และไม่มีการกระจายเข้าสู่ axillary node จะมีโอกาสพบ internal mammary nodes involvement เพียง 2-5% เท่านั้น แต่ถ้าก้อนมะเร็งอยู่ inner quadrant และมีการกระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ร่วมด้วย จะมีการกระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง internal mammary nodes สูงถึง 50% 12 ส่วนการแพร่กระจายสู่ supraclavicular nodes จะสัมพันธ์กับระยะของโรคและภาวะของการลุกลามสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และ internal mammary nodes มีรายงานจากการผ่าตัดพบว่า อุบัติการของการแพร่กระจายสู่ supraclavicular nodes มีเพียง 2-6% ถ้าไม่มี axillary และ internal mammary nodes involvement และจะสูงถึง 17-43% ถ้ามีทั้ง axillary และ internal mammary nodes metastasis 13-15

Histopathology

รางที่ 1 Histopathologic type
The histologic types are as follows:
Carcinoma, NOS (not otherwise specified)
Ductal
Intraductal (in situ)
Invasive with predominant intraductal component
Invasive, NOS
Comedo
Inflammatory
Medullary with lymphocytic infiltrate
Mucinous (colloid)
Papillary
Scirrhous
Tubular
Other
Lobular
In situ
Invasive with predominant in situ component
Invasive
Nipple
Paget’s disease, NOS
Paget’s disease with intraductal carcinoma
Paget’s disease with invasive ductal carcinoma
Other
Undifferentiated carcinoma
HISTOPATHOLOGIC GRADE (G)
Investigations

การตรวจทางห้องปฏิบัติการต่าง ๆ เช่น complete blood count (CBC) ตรวจการทำงานของตับรวมทั้ง alkaline phosphatase เอ็กซเรย์ปอด (chest x-ray) สำหรับ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะEarly (stage I และ II) ที่ไม่มีอาการผิดปกติ และค่า alkaline phosphatase อยู่ในระดับปกติ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งทำ bone scan และ liver scan ส่วนการตรวจหา estrogen และprogesterone receptors จะช่วยเป็นตัวบอกแนวทางในการรักษาและใช้เป็นตัวบอกการพยากรณ์
ของโรคได้ ปัจจุบันนี้บางสถาบันใช้ flow cytometry และ thymidine-labelling index ซึ่งเป็นการวัดgrowth fraction ของเซลล์มะเร็ง และเป็นตัวบอกการพยากรณ์โรคได้เช่นกัน

ปัจจุบันนี้การตรวจโดยวิธี mammography20,21 สามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้อาจพบลักษณะ เช่น มี microcalcification, ill-defined mass spiculated margin, distortion,knobby, lobulated หรือ smooth contour mass ในเต้านม Sensitivity 90% และมี specificity ถึง 95% American College of Radiology แนะนำให้ทำ base line mammography เมื่ออายุ 35 ปี และอายุ 30 ปีสำหรับกลุ่มที่เป็น risk factor และตรวจซ้ำทุก 2 ปี เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ทุก 1 ปี เมื่ออายุ 50 ปี

ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจะมีการดำเนินโรคทางคลีนิกแตกต่างกันอย่างมาก ผู้ป่วยบางรายแม้จะมีก้อนมะเร็งขนาดเล็กในเต้านม แต่อาจจะเสียชีวิตจากการแพร่กระจายของโรคได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายมีการลุกลามเฉพาะที่อย่างมาก แต่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็น 10 ปี โดยที่ไม่เกิดการแพร่กระจายของโรค จึงได้มีการศึกษาหาองค์ประกอบที่ใช้บ่งบอกพฤติกรรมของโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ

ภาวะการกระจายของมะเร็งเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ (axillary node metastasis)เป็นตัวบ่งบอกการพยากรณ์ของโรคที่สำคัญที่สุด มีผลต่อทั้งโรคกำเริบเฉพาะที่และอัตราการมีชีวิตรอด 10,16,24,25 โรคกำเริบเฉพาะที่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ Early (stage I และ II) ในกรณีที่ไม่มีการกระจายของโรคสู่ต่อมน้ำเหลือง พบได้ประมาณ 6-8% ส่วนผู้ป่วยที่มีการกระจายของโรคสู่ต่อมน้ำเหลืองจะมีโรคกำเริบเฉพาะที่ได้ 20-30%

อัตราการมีชีวิตรอดก็มีส่วนสัมพันธ์กับการกระจายของโรคสู่ต่อมน้ำเหลืองเช่นกัน ผู้ป่วยที่ไม่มีการกระจายของโรคสู่ต่อมน้ำเหลืองจะมีอัตราการรอดชีวิตที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่มีการลุกลามของมะเร็งสู่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว

ลักษณะทางพยาธิวิทยาก็มีส่วนสำคัญที่จะบ่งบอกถึงพฤติกรรมของโรคเซลล์ที่เป็น poorly differentiation, มี proliferative และ mitotic rate สูง, high nuclear grade จะมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี 8,29

ปัจจุบันนี้จำนวนต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ที่มีการกระจายของเซลล์มะเร็งถือเป็นตัวบ่งบอกการพยากรณ์โรคที่สำคัญที่สุดต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย 10 สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีการกระจายของโรคสู่ต่อมน้ำเหลืองจะมีอัตราการรอดชีวิต 10 ปี ประมาณ 75% และลดลงเหลือประมาณ 25% เมื่อมีโรคลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว 10,29,27

Treatment

การผ่าตัด

ถือเป็นส่วนที่สำคัญเพื่อให้ได้การวินิจฉัยโรคและใช้เป็นการรักษามะเร็งเต้านมในระยะเวลาเป็นร้อยปีที่ผ่านมา มีการใช้การผ่าตัดหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำ radical mastectomy,supraradical mastectomy, modified radical mastectomy (MRM), simple mastectomy และ segmentectomy หรือ tumorectomy39-42 จากการศึกษาต่าง ๆ 42-44 โดยเฉพาะ NSABP B-06 trial 42 แสดงให้เห็นว่า การทำ segmentectomy (quadrantectomy) หรือ tumorectomy และตามด้วยการฉายรังสีที่เต้านม สามารถใช้เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็น T1 T2 lesion ซึ่งเป็นวิธีการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (breast conservation surgery) โดยมีผลการรักษาไม่แตกต่างจากการทำผ่าตัด modified radical mastectomy ซึ่งเป็นวิธีการที่ตัดเต้านมออกทั้งหมด สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ จะต้องผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ระดับที่ I และ II ออกมาด้วย

premenopausal women with positive axillary nodes should receive adjuvant systemic chemotherpay premenopausal women with negative axillary nodes should be considered for adjuvant chemotherapy if they are felt to be at high risk for recurrence (large tumors > 2 cm, high degree of differentiation, negative for hormone receptors)
postmenopausal women with positive axillary nodes and positive hormone receptor levels should receive tamoxifen
postmenopausal women with positive axillary nodes and negative hormone receptor levels should not receive adjuvant chemotherapy routinely but rather be assessed on an individual basis
postmenopausal women with negative axillary nodes do not need adjuvant chemotherapy.

สำหรับการใช้ฮอร์โมนในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมนิยมใช้ในรายที่มีการแพร่กระจายของโรคแล้ว (metastatic disease) และใช้เป็นการรักษาเสริมใน postmenopausal ที่มี positive axillary nodes และ positive hormonal receptor levels สำหรับผู้ป่วยที่เป็น premenopausal ประโยชน์ที่ได้ยังไม่แน่ชัด ส่วนการทำ oophorectomy หรือ ovarian castration และ hypophysectomy-adrenalectomy ไม่นิยมใช้กันแล้วในปัจจุบันนี้ 48 ฮอร์โมนที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ anti-estrogen (tamoxifen) 20 mg ต่อวัน เป็นระยะเวลา 5 ปี

สำหรับการใช้ฮอร์โมนนี้ไปตลอดชีวิตจะได้ประโยชน์สูงสุดหรือไม่ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การใช้ฮอร์โมนนี้ในปริมาณสูงและยาวนานจะมีอุบัติการของการเป็นมะเร็งโพรงมดลูก
(endometrial carcinoma) มากขึ้น

รังสีรักษา (Radiotherapy)

ความสำเร็จของการรักษามะเร็งเต้านม จะต้องสามารถควบคุมโรคเฉพาะที่และป้องกันหรือลดการแพร่กระจายของโรคให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ในส่วนของการควบคุมโรคเฉพาะที่นั้น การใช้ยาเคมีบำบัดหรือฮอร์โมนบำบัดเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถให้การควบคุมโรคเฉพาะที่ได้ดีเพียงพอโดยปราศจากการใช้การผ่าตัดและ/หรือรังสีรักษา27,50-52 ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการทำผ่าตัดแบบถอนรากถอนโคนของเนื้อเยื่อ เต้านมและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงก็ตาม ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกลุ่มหนึ่งก็ยังคงมีการกำเริบของโรคขึ้นที่บริเวณ chest wall และ regional lymph nodes53

จุดประสงค์ของการฉายรังสีหลังผ่าตัด ก็เพื่อทำลาย microscopic disease ที่อาจหลงเหลืออยู่ที่บริเวณ chest wall และ peripheral lymphatics ในการศึกษาของ NSABP B-0454, Wallgren55, Rutgvist56, Overgaard57 ทำให้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าการใช้รังสีรักษาร่วมด้วย สามารถลดอุบัติการเกิด locoregional recurrence ลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ปัจจุบันนี้การพิจารณา postoperative chest wall irradiation หลังจากการทำ MRM แล้วไม่ได้ใช้เป็น routine ทุกราย แต่จะเลือกให้เฉพาะในรายที่เป็น high risk (มี local-regional recurrence มากกว่า 15% หรือ 20%) เท่านั้น คือ ในกรณีต่อไปนี้ tumor size > 5 cm (T3) and T4 lesion

axillary nodes positive 3 4 nodes
vascular-lymphatic space invasion
skin or muscle invasion
evidence of residual tumor

ส่วนการฉายรังสีที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ถ้าหากว่าได้ทำ adequate axillary dissection คือ
level I และ II แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องฉายรังสีที่บริเวณ axilla ร่วมด้วยเนื่องจากโอกาสที่จะมีการกำเริบของโรคบริเวณรักแร้ จะเกิดขึ้นเพียง 2-4.5% เท่านั้น42,58 แต่ถ้าพบว่ามี
gross residual disease, massive axillary infiltration หรือพบว่ามีมะเร็งลุกลามทะลุผ่าน capsule ของ node เข้าไปยัง axillary fat อาจต้องพิจารณาฉายรังสีบริเวณรักแร้ร่วมด้วย59 นอกจากนี้พบว่าการผ่าตัด full axillary dissection (level III) จะเกิดแขนบวมได้ประมาณ 10% และถ้าหากให้การฉายรังสีบริเวณรักแร้ร่วมด้วยโดยไม่จำเป็น จะทำให้เกิดภาวะแขนบวมสูงถึง 40%60-62

ปัจจุบันนี้ การทำผ่าตัดแบบสงวนเต้านมเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก
stage I-II แต่การทำผ่าตัดด้วยวิธีนี้อย่างเดียวจะมี locoregional recurrence สูงถึง 35-40% มีการศึกษาต่าง ๆ 42,63,64 มากมายโดยเฉพาะการศึกษาของ NSABP B-0642 พบว่า การทำ breast conservation surgery แล้วตามด้วยการฉายรังสีที่เต้านม จะได้ผลทั้งการควบคุมโรค และอัตรารอดชีวิตเท่ากับการทำ mastectomy

multicentric breast malignancies
diffuse microcalcifications detected by mammography
an unacceptable cosmetic result (large tumor relative to breast size)
collagen vascular disease

รังสีรักษา นอกจากใช้เป็น postoperative irradiation ในผู้ป่วยที่เป็น high risk ต่อการเกิด local-regional recurrence และร่วมกับการทำผ่าตัดแบบ breast conservation surgery ดังกล่าวแล้ว รังสีรักษายังสามารถพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่เป็น locally advanced และ inoperable breast cancer ได้ 65-67 เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี จึงมักจะต้องใช้ combination chemotherapy ร่วมด้วย ในรายที่เป็น inoperable tumors การใช้รังสีรักษาจะทำให้มี locoregional control ได้ดีขึ้น แต่ปริมาณรังสีที่ให้อาจต้องสูงถึง 70 Gy ในบางครั้งการใช้ปริมาณรังสี 50 Gy อาจเปลี่ยนสภาพจาก inoperable tumors มาเป็น operable ได้

แต่ถ้าพบก้อนมะเร็งที่เต้านม หรือ chest wall ร่วมกับการแพร่กระจายของโรค อาจพิจารณาให้การรักษาแบบบรรเทาอาการ (palliative treatment) ก็พอ โดยการฉายรังสี 20 Gy/5 fractions หรือ 30 Gy/10 fractions ที่ chest wall, breast และหรือ peripheral lymphatic system ทั้งนี้ขึ้นกับการลุกลามของโรค

สรุป ข้อบ่งชี้ของการใช้รังสีรักษาในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มีดังต่อไปนี้คือหลังการทำผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (breast conservation surgery)

ในผู้ป่วยที่เป็น high risk หลังการทำ MRM

Preoperative irradiation ในกรณีที่เป็น borderline inoperable ที่วางแผนจะให้การผ่าตัดต่อไป

ในกรณีที่เป็น locally advanced หรือ inflammatory carcinoma แต่ยังไม่พบว่ามี distant disease ก็สามารถพิจารณาฉายรังสีบริเวณ chest wall, breast และ regional lymph nodes ร่วมกับการใช้ systemic therapy ใช้เป็น palliative irradiation ในกรณีที่เป็น chest wall recurrence หรือเกิดมี brain และ bony metastasis เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของการฉายรังสี
แขนบวม ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด
brachial plexus neuropathy
soft tissue necrosis และ bone fracture
radiation pneumonitis
injury ต่อหัวใจ โดยเฉพาะการฉาย internal mammary nodes ทางด้านซ้าย พบว่ามีผลต่อการทำลาย left anterior descending artery มากที่สุด
sarcoma of soft tissue และ bone
ทำให้เกิด contralateral breast cancer

แต่ในปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในประวัติธรรมชาติของมะเร็งเต้านม ตลอดจนการใช้เครื่องมือและเทคนิคทางรังสีรักษาสมัยใหม่ ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างรัดกุมและถูกต้อง โดยให้ปริมาณรังสีที่สูงเพียงพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะบริเวณที่มีอุบัติการกำเริบของโรคสูงในขณะที่หลีกเลี่ยงให้ครอบคลุมเนื้อเยื่อปกติให้น้อยที่สุด ทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดี และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย70 เครื่องมือที่ทันสมัยในปัจจุบันนี้ควรจะประกอบด้วย simulator, high energy photon (megavoltage machine) และ treatment planning system

Radiotherapy Technique

ลิ่ม (triangular wedge)

ใช้เครื่องโคบอลต์-60 หรือ 6 MV photon ปริมาณรังสี 1.8-2 Gy/day, 5 fractions/week จนครบ 45-50 Gy ในระยะเวลา 5-5 ½ สัปดาห์ ปกติจะทำ contour ที่ midline axis ของลำรังสี โดยมากจะต้องใช้ compensating wedge filters ขนาด 15o–45o เพื่อทำให้การกระจายตัวของรังสีเป็นไปอย่างสม่ำเสมอใน treated volume (รูปที่ 6) สำหรับกรณีที่ฉาย whole breast อาจพิจารณา boost ที่ tumor bed เพิ่ม 10-20 Gy โดยใช้ electron beam หรือ interstial implantation (รูปที่ 7) การใส่ surgical clips บริเวณก้อนเนื้อเดิมขณะผ่าตัด และใช้ ultrasound มีประโยชน์ในการช่วยบอกตำแหน่ง และความลึกจาก skin ของ breast ถึง chest wall ได้ ทำให้เลือกพลังงานของ electron ได้ถูกต้อง Electron energy ที่ใช้ส่วนมากอยู่ระหว่าง 8-15 MeV.

ปริมาณรังสีที่ใช้ 45-50 Gy/25 fractions/5 wks คิดที่ความลึก 4 ซม. จาก skin เพื่อ spareunderlying lung tissue, mediastinum, myocardium และ spinal cord จากการใช้รังสีโคบอลต์-60 หรือ 4-6 MV photon เพียงอย่างเดียว หรือป้องกันไม่ให้ ผิวหนังบริเวณด้านหน้าได้รับปริมาณรังสีมากเกินไปจากการใช้ electron beam เพียงอย่างเดียว (ซึ่งปกตินิยมใช้พลังงาน 12-14 MeV) เพื่อลดปัญหาดังกล่าวข้างต้น จึงแนะนำให้ใช้ photon beam และ electron beam ร่วมกันโดยใช้สัดส่วนระหว่าง photon beam : electron beam ประมาณ 1 : 2

Morbidity
การดูแลผู้ป่วยระหว่างการฉายรังสี (Patient care)

ช่วงระหว่างการให้การรักษาด้วยรังสี ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่กระชับหรือรัดแน่น เพื่อป้องกันการเสียดสีกับผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังเป็นแผลถลอกได้ง่าย แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ที่ทำจากผ้าฝ้าย

ผลการรักษามะเร็งเต้านม
ตารางที่ 6 แสดงอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะต่าง ๆ

Stage
5- year

survival (%)

10-year

survival (%)

I
II
III
IV
70-95
50-80
10-50
0-10
60-80
40-60
0-30
0-5

Special Considerations
1. Inflammatory breast cancer
2. Cystosarcoma phylloides

เนื้องอกชนิดนี้ พบบ่อยที่สุดใน non-epithelial lesions ของเต้านม การรักษาหลักคือ การทำผ่าตัดโดยจะมีโรคกำเริบได้ไม่เกิน 5% โอกาสที่จะมีการลุกลามของโรคไปที่ต่อมน้ำเหลืองน้อยมาก รังสีรักษาไม่มีบทบาทในการรักษามะเร็งชนิดนี้ ยกเว้นในผู้ป่วยที่มี residual, recurrent หรือ inoperable tumor

3. Male breast cancer

มะเร็งเต้านมในผู้ชาย พบน้อยมากไม่เกิน 1% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ทั้งหมด พยาธิวิทยาที่พบเหมือนกับในผู้ป่วยหญิง การผ่าตัด mastectomy ถือเป็น standard สำหรับการรักษาโรคเฉพาะที่ ซึ่งอาจต้องพิจารณาให้การฉายรังสีร่วมด้วย79 โดยเทคนิคและวิธีการเช่นเดียวกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมในสตรี การพิจารณาให้การรักษาด้วยฮอร์โมนหรือเคมีบำบัดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่อาจจะใช้หลักการเดียวกับในผู้ป่วยสตรี

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม
1. ใครคือผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
ผู้หญิงทุกคน สำหรับผู้ชายมีเพียงส่วนน้อยแต่ก็สามารถเป็นได้
2. จริงหรือไม่ที่มีผู้หญิงบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
ใช่ เช่นผู้หญิงที่มีญาติใกล้ชิดเป็นมะเร็ง ผู้หญิงที่ไม่มีลูกหรือมีหลังจากอายุ 30 ปีแล้ว แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ พบว่า 80% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเป็นหญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
3. อะไรเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านมและสามารถป้องกันได้หรือไม่
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุและยังไม่มีวิธีการป้องกัน
4. มีผู้หญิงจำนวนเท่าไรที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ในสหรัฐอเมริกามีผู้หญิง 1 ใน 9 ที่จะเป็นมะเร็งเต้านมในช่วงชีวิต มะเร็งเต้านมพบได้บ่อยในผู้หญิงในประเทศนี้
5. ลักษณะก่อนที่เต้านมเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปก้อนที่เต้านมกว่า 80% เมื่อตรวจชิ้นเนื้อที่ผิดปกติพบว่าไม่ได้เป็นมะเร็งแต่ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์
6. ถ้าพบก้อนที่เต้านมแล้วต้องทำอย่างไร
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจและรับคำแนะนำต่อไป
7. อะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะมะเร็งเต้านม
การค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกเป็ฯวิธีที่ดีที่สุด พบอัตราการอยู่รอด 5 ปี ถึง 97 % หลังการรักษามะเร็งเต้านมที่เป็นระยะแรก
8. โปรแกรมในการค้นหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกที่ดีที่สุดคืออะไร
ตรวจโดยแมมโมแกรมเป็นประจำเริ่มตั้งแต่อายุ 40 ปี ตรวจเต้านมโดยบุคลากรทางการแพทย์เป็นประจำ ตรวจเต้านมด้วยตนเองเดือนละครั้งหลังจากมีประจำเดือนหรือหมดประจำเดือน ในวันเดียวกันทุกเดือนส่วนใหญ่ผู้หญิงมักพบสิ่งผิดปกติของเต้านมด้วยตนเอง
9. จะสามารถตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรมได้ที่ไหน
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลของทบวงมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง

4. Bilateral breast cancer

การเกิดมะเร็งเต้านมทั้ง 2 ข้าง อาจเกิดได้พร้อมกัน (synchronous) หรือเกิดคนละเวลา(metachronous) ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น metachronous อุบัติการของการเกิด synchronous bilateral breast cancer พบได้เพียง 1-2% เท่านั้น 7 การรักษาแยกพิจารณาตามระยะของโรคในแต่ละข้างพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็น inflammatory ได้ประมาณ 2-5% การวินิจฉัยทางคลีนิก จะพบลักษณะบวมแดงของเต้านม บ่อยครั้งที่จะคลำก้อนไม่ได้ชัดเจน ส่วนผลทางพยาธิวิทยาจะพบมี dermal lymphatic invasion ภาวะของ inflammatory breast cancer จะมีการพยากรณ์โรคที่เลวมาก การรักษาต้องพิจารณาใช้ systemic chemotherapy เป็นหลัก การทำผ่าตัดอย่างเดียวถือเป็นข้อห้าม ข้อแนะนำในการรักษาปัจจุบันนี้คือ การใช้ systemic therapy โดยใช้ยา doxorubicin-containing regimen การใช้รังสีรักษาและการทำผ่าตัด อาจพิจารณาใช้หลังจากการให้เคมีบำบัดแล้ว เพื่อช่วยให้ locoregional control ดีขึ้น 78 ผลการรักษามะเร็งเต้านม10,42,44,51 จะมีอัตราการรอดชีวิตแตกต่างกันไปตามระยะของโรค ผู้ป่วยจะได้คำแนะนำว่า ไม่ให้ลบรอยเส้นที่ขีดไว้บนผิวหนังออก แต่อาจจะใช้แป้งเด็กหรือแป้งข้าวโพดทาบริเวณรักแร้ เพื่อช่วยในการดูดซับเหงื่อ เมื่อเกิด dry desquamation แนะนำให้ใช้ 1% hydrocortisone cream ทาเพื่อลดภาวะความตึงของ ผิวหนัง แต่ถ้ามีภาวะ moist desquamation อาจต้องให้หยุดฉายรังสีชั่วคราว และใช้ prednisil cream หรือ garamycin cream ทาจนแผลแห้งในด้านของเคมีบำบัด ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันที่พบได้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน, เม็ดเลือดขาวต่ำ และเกร็ดเลือดต่ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ และเลือดออกได้ บางรายอาจมีอาการ mucositis, ผมร่วง เป็นต้น ส่วนภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่อาจพบได้ เช่น หัวใจล้มเหลว, การทำงานของไตและปอดเสื่อมลงส่วนใหญ่ของผู้ป่วยจะทนต่อการรักษาด้วยรังสีได้ดี ภาวะแทรกซ้อนระยะเฉียบพลัน จะหายเป็นปกติได้เอง อาการส่วนใหญ่ที่พบคือ การเปลี่ยนแปลงทาง ผิวหนัง เช่น มี erythema, moist desquamation สำหรับภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่พบมี breast edema หรือ fibrosis, แขนบวม พบได้ 5-7%76,77 และมี asymptomatic apical lung fibrosis เป็นต้น ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเกิดขึ้นได้น้อยกว่า 1% ถ้าใช้ dose/fraction มาตราฐานดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ได้แก่ brachial plexopathy, breast necrosis, rib fracture, pneumonitis และ transient pleural effusionภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการทำผ่าตัด มักจะพบเฉพาะในรายที่ทำผ่าตัดแบบ radical mastectomy โดยจะพบภาวะ arm edema, skin flap necrosis, hematoma รวมทั้งแผลแยกและการติดเชื้อ75โดยทั่วไปการฉายรังสีสามารถเริ่มได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังการทำผ่าตัด ส่วนในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ต้องให้ adjuvant chemotherapy ร่วมด้วย มีข้อมูลในปัจจุบันนี้ว่า สามารถให้เคมีบำบัดจนครบ ซึ่งปกติจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4-6 เดือน แล้วค่อยให้การฉายรังสีตามในผู้ป่วยที่ไม่มี residual tumor หลังการผ่าตัด72,73 พบว่าไม่มีความแตกต่างในอุบัติการเกิดโรคกำเริบเฉพาะที่

สำหรับในรายที่ใช้ฮอร์โมนร่วมในการรักษา สามารถเริ่มการฉายรังสีไปพร้อมกันได้ในการฉายรังสีแต่ละบริเวณ ผู้ป่วยควรจะต้องนอนอยู่ในท่าเดิมตลอด ถ้าผู้ป่วยนอนราบ มักจะพบว่าหน้าอกส่วนบนจะราดลง ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการให้ผู้ป่วยนอนเอาศีรษะและไหล่บนกระดานสามเหลี่ยมรูปลิ่ม(triangular wedge) เพื่อยกศีรษะและหน้าอกส่วนบนให้สูงขึ้น ขนานเป็นแนวราบ ยกแขนข้างเดียวกับหน้าอกที่จะทำการฉายรังสี กางออกเป็นมุมฉากจับยึดกับเสาที่สามารถจัดระยะและระดับให้คงที่ได้ทุกวันหรืออาจจะให้สอดมือไว้ใต้ศีรษะของผู้ป่วยเอง ตะแคงหน้าไปด้านตรงข้าม นอกจากนี้อาจจะสอดหมอนข้างไว้ใต้เข่าทั้ง 2 ข้าง ของผู้ป่วย เพื่อจะได้นอนในท่าที่สบาย ไม่เกร็งเกินไปจะได้ไม่มีการขยับเขยื้อนตัวขณะฉายรังสีในสมัยก่อน เครื่องมือทางรังสีรักษาที่ใช้ยังไม่ก้าวหน้า และไม่มีวิวัฒนาการทางด้านการวางแผนการรักษาอย่างรัดกุมเหมือนปัจจุบัน เครื่องมือที่ใช้มักเป็น low energy radiation (orthovoltage),นอกจากนี้ปริมาณรังสีที่ใช้ total dose, dose per fraction และ target volume ที่รักษายังไม่มาตรฐานเพียงพอ เนื่องจากยังไม่ทราบประวัติธรรมชาติของโรคที่แน่ชัดเหมือนเช่นปัจจุบัน ทำให้การรักษาด้วยรังสีที่ผ่านมาในอดีตยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจและเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ 69-71 เช่นอย่างไรก็ตามมีข้อห้ามในการทำ breast conservation surgery ดังนี้

ในกรณีของก้อนมะเร็งที่อยู่ inner quadrant และมี axillary nodes metastasis การพิจารณาฉาย รังสีบริเวณ internal mammary nodes ยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่ให้การสนับสนุน แม้ข้อมูลจาก Handley12 พบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้ เมื่อทำ biopsy จะพบ internal mammary nodes metastasis ประมาณ 50% ก็ตาม แต่อุบัติการของการกำเริบของโรคที่ตำแหน่งนี้ในทางคลีนิกเกิดขึ้นน้อยมาก (น้อยกว่า 10%)

นอกจากนี้ จากการศึกษาของ Fowble26 (ECOG 1988) พบว่า ตำแหน่งของการเกิด locoregional
recurrence หลังทำ MRM เป็นดังนี้
chest wall 53%
supraclavicular nodes 23%
axilla 11%
infraclavicular 1%
internal mammary 1%
multiple sites 11%

การกำเริบของโรคเฉพาะที่ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จะก่อให้เกิดผลแทรกซ้อน ต่าง ๆ เช่น เป็นแผลมีเลือดออก เกิดการติดเชื้อ มีอาการปวด และแขนบวม Brachial plexus compression อันจะเป็นการบั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และจะเป็นแหล่งของการเกิดการแพร่กระจายของโรคต่อไป68 จากการศึกษาของ Bonadonna51 และ Fowble26 (ECOG study) พบว่าอุบัติการของการกำเริบของโรคเฉพาะที่ขึ้นกับขนาดของมะเร็ง(primary tumor) และจำนวนต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ที่มีการกระจายของโรค เคมีบำบัด และฮอร์โมนบำบัด แต่เดิมใช้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมที่มีการแพร่กระจายของโรคหรือภาวะที่มีการลุกลามของโรคเฉพาะที่อย่างรุนแรง แต่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกพัฒนามาใช้เพื่อเป็นการรักษาเสริม45-48 (adjuvant treatment)ในผู้ป่วยที่มีอัตราเสี่ยงต่อการกำเริบของโรคสูง เพื่อเพิ่มอัตราการปลอดโรคและเพิ่มอัตรารอดชีวิตแก่ผู้ป่วยเนื่องจากมะเร็งเต้านมมักจะเป็น systemic disease แล้ว ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาเฉพาะที่อย่างเดียวยากที่จะทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้ National Cancer Institute (NCI) ของสหรัฐอเมริกาได้มี Consensus Development Committee49 ในปี ค.ศ. 1985ซึ่งแนะนำการใช้ adjuvant systemic therapy ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไว้ดังนี้คือปัจจุบันนี้การรักษามะเร็งเต้านมที่ได้ผลดีที่สุดจะต้องเป็นการผสมผสานกัน38 (multidisciplinary) ระหว่างการผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัดและ/หรือฮอร์โมนบำบัด ซึ่งต้องอาศัยทีมงานที่ประกอบด้วยศัลยแพทย์, รังสีรักษาแพทย์, แพทย์อายุรกรรมด้านโรคมะเร็ง ตลอดจนพยาธิแพทย์Flow cytometry และ thymidine labelling index32-36 ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง สามารถใช้เป็นการพยากรณ์โรคได้ แต่เทคนิคการตรวจค่อนข้างยุ่งยาก และยังไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้Hormone receptors ก็เช่นกัน ผู้ป่วยที่มีระดับของ estrogen และ progesterone receptor ต่ำหรือศูนย์ จะมีการพยากรณ์โรคไม่ดี มีอัตรารอดชีวิตน้อยกว่าผู้ป่วยที่มี hormone receptors เป็นบวก30,31ขนาดของก้อนมะเร็ง (tumor size) สามารถใช้บอกถึงการพยากรณ์โรคของมะเร็งเต้านมได้ 8,23 ขนาดของก้อนมะเร็งที่ใหญ่ขึ้นจะมีผลทำให้การกำเริบของโรคเร็วขึ้นและเสียชีวิตในช่วงเวลาอันสั้น

นอกจากนี้ยังพบอุบัติการโรคกำเริบเฉพาะที่สูงขึ้นด้วย มะเร็งเต้านมที่มีขนาด 1 เซ็นติเมตรจะมีโอกาสโรคกำเริบประมาณ 10% ในขณะที่มะเร็งขนาด 1-2 เซนติเมตร จะมีโอกาสโรคกำเริบ 20-25%
ในระยะเวลา 5 ปีการประเมินผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ต้องเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน ประวัติการมีประจำเดือน จำนวนการมีบุตร และประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัว ประวัติการรับประทานยาที่เข้าฮอร์โมนเพศหญิง การตรวจเต้านมตลอดจนบันทึกความเปลี่ยนแปลงของรูปสันฐานและสีของผิวหนังของเต้านม การตรวจต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และไหปลาร้า ตลอดจนถึงการตรวจช่องท้องและอุ้งเชิงกรานGX Grade cannot be assessed

G1 Well differentiated
G2 Moderately differentiated
G3 Poorly differentiated
G4 Undifferentiated มีการแบ่งพยาธิสภาพของมะเร็งเต้านมหลายระบบด้วยกัน แต่ระบบที่นิยมใช้กันมากคือ American
Joint Committee on Cancer (AJCC) pathological classification19 (ตารางที่ 1)

โดยทั่วไปจะพบมะเร็งเต้านมที่เป็น infiltrating ductal carcinoma บ่อยที่สุดส่วนการแพร่กระจายทางกระแสเลือดสู่อวัยวะอื่นๆ เกิดขึ้นได้แม้ว่าก้อนมะเร็ง จะมีขนาดเล็ก และยังไม่มีการกระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองก็ตาม แต่การแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่นจะยิ่งสูงมากขึ้นอย่างชัดเจน ถ้ามีการกระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ร่วมด้วย16 อวัยวะที่พบมีการแพร่กระจายไปได้บ่อยคือ ปอด กระดูก ตับ ต่อมหมวกไต รังไข่ และสมอง17-18โดยทั่วไป มะเร็งเต้านม จะมีการลุกลามเฉพาะที่ กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายสู่อวัยวะอื่น ๆในที่สุด เมื่อมีก้อนมะเร็งในเต้านมเกิดขึ้น หากทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาให้ถูกต้อง ก้อนมะเร็งจะโตขึ้น และลุกลาม เข้าสู่ deep lymphatics ทำให้เกิดมีผิวหนังบวมแบบผิวส้ม ต่อมาผิวหนังแตกเป็นแผล มีเลือดออกจากแผลและมีการเน่าเปื่อยของก้อนตลอดจนกลิ่นเน่าเหม็น และติดเชื้อเป็นที่ทราบกันว่า มะเร็งเต้านมเริ่มก่อกำเนิดจากเซลล์เยื่อบุผิวของท่อน้ำนม เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นจะมีการลุกลามไปตามท่อน้ำนม (mammary duct) สามารถทะลุผ่าน basement membrane,mammary fat, underlying muscle, overlying skin และลุกลามเข้าสู่ท่อทางเดินน้ำเหลืองของเต้านม (รูปที่ 1) มะเร็งสามารถลุกลามผ่านผนังเส้นเลือด กระจายเข้าสู่ deep lymphatic ของ dermis ทำให้เกิดการบวมของผิวหนังแบบผิวส้ม (Peau d’ orange)7สาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหรือมี ความสัมพันธ์กับภาวะของ ฮอร์โมน, พันธุกรรมและภาวะทางสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปมักพบมะเร็งเต้านมในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป 3 (แต่ในแถบเอเชียพบในผู้ป่วยอายุน้อยกว่านี้ได้บ่อยขึ้น) ประวัติการมีประจำเดือนครั้งแรกอายุน้อย (early menarche) และหมดประจำเดือนช้า (late menopause) การไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรก เมื่ออายุมาก โดยเฉพาะมากกว่า 30 ปี มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัวเดียวกัน4 องค์ประกอบอื่น เช่น การได้รับรังสี 5,6 และปริมาณไขมันในสารอาหารที่รับประทาน 3 เป็นต้นมะเร็งเต้านมเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญอย่างหนึ่ง จากสถิติผู้ป่วยมะเร็งของ