ไข้หวัดนก เป็น มหันตภัย ที่คุกคามทั้งสุขภาพพลานามัยของผู้คนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศโดยแท้ ที่พูดถึงขนาดนี้ ก็เพราะไทยเราส่งออกไก่มากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองลงมาจากสหรัฐอเมริกาและบราซิล มีมูลค่าการส่งออกมาถึงปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท หรือในราว 3,300-4,100 ล้านบาทต่อเดือน และเจ้าไก่นี่ละ ที่ถือเป็นพระเอก ของโครงการครัวของโลกของบ้านเรา เพราะการส่งออกไก่ถือเป็นอันดับ 1 ของการส่งออกอาหารทั้งหมดของเรา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้คาดว่าสถานการณ์ไข้หวัดนก จะทำให้ยอดส่งออกไก่ลดลงถึงเดือนละ 3,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
นอกจากนี้โรคไข้หวัดนกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหวาดวิตกเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง พลังงานและไฟแนนซ์ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีหุ้น (ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้) ปรับตัวลงถึง 17.54 จุด และมูลค่าการซื้อขายเหลือเพียง 23,175.02 ล้านบาท และคาดกันว่าข่าวการระบาดของไข้หวัดนกจะยังเป็นปัจจัยชี้นำนักลงทุนต่อไปอีกสักระยะ
ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดในไทยที่เริ่มจาก 2 จังหวัดในเดือนธันวาคม จนกลายมาเป็น 13 จังหวัด ในวันที่ 27 ม.ค. แล้วก็ลุกลามในชั่วข้ามคืนเป็น 25 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพ ฯ ในวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา คงต้องยอมรับกันว่าไข้หวัดนกเป็นไข้ที่ ‘ติดปีก’ สมชื่อจริง ๆ ด้วยเหตุผลของความรุนแรงและรวดเร็วในการระบาดดังกล่าว ซึ่งไม่เพียงแต่ในไทยเท่านั้น หากยังพบการระบาดในอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีใต้ เวียดนาม อินโดนีเซีย จีน ลาว ปากีสถาน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และกัมพูชา ทำให้สามองค์กรสหประชาชาติ ได้แก่ องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติ (FAO) และองค์การโรคระบาดสัตว์โลก (OIE) ต้องออกมาแถลงการณ์ร่วมกันในวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเตือนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดนกในภูมิภาคเอเชียในเวลานี้ เป็นงานที่ท้าทายความสามารถในการควบคุมโรคดังกล่าว แล้วยังส่งผลคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพชีวิตของประชาชนทั่วโลก จึงได้ร่วมกันกำหนดให้ไข้หวัดนกเป็นโรคที่มีการระบาดในขั้นอันตราย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ไทยในฐานะ ‘พี่เบิ้ม’ แห่งวงการส่งออกไก่เอเชีย จะอาสาเป็นเจ้าภาพถกปัญหาไข้หวัดนก ระหว่างประเทศ ในวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการประสานกับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเขตเศรษฐกิจที่มีปัญหาร่วมกันเช่น จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และกลุ่มลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพราะไม่ใช่ปัญหาของประเทศแต่ประเทศเดียว
การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมในระดับรัฐมนตรี โดยกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มแรก ประเทศหรือเขตเศรษฐกิจที่มีปัญหาร่วมกันในเรื่องไข้หวัดนก อันได้แก่ เวียดนาม ญี่ปุ่น จีน กัมพูชา และเกาหลีใต้ ส่วนกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ที่เป็นลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ประกอบด้วย สิงคโปร์ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติ (FAO)
และหลังเสร็จสิ้นการประชุม ในเวลาประมาณ 18.00 น. ก็ได้มีการแถลงข่าวจาก นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเข้าร่วมทั้ง 13 เขตเศรษฐกิจ ร่วมอยู่ในห้องแถลงข่าวด้วย โดยนายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า ที่ประชุมเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาทั้งจากภายในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมา โดยตกลงให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่โปร่งใสระหว่างกัน และมีมาตรการที่เข้มงวด รวมทั้งปรับปรุงขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนา
นอกจากนี้ ทุกประเทศจะดำเนินมาตรการภายใน ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและเกษตรกรรมของสหประชาชาติ (FAO) และองค์การโรคระบาดสัตว์โลก (OIE) โดยจะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทั้ง 3 หน่วยงานดังกล่าว และจะมีการสร้างเครือข่ายในการควบคุมโรคในสัตว์ รวมถึงเครือข่ายในการควบคุมโรคจากคนสู่คน ตลอดจนสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ในเรื่องการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คน เช่น การพัฒนายาและวัคซีนป้องกันโรค รวมถึงการเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือทางวิชาการ จากประเทศที่มีโรคไข้หวัดนกระบาด
ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า การกำจัดต้นตอของเชื้อโรคเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนในช่วงเวลานี้ เพื่อยุติการแพร่ระบาดของเชื้อโรคลงโดยเร็วและไทยเราก็ได้รับการยอมรับนับถือจากนานาประเทศว่าได้ดำเนินการตามมาตรการสูงสุดของ OIE และ FAO นั่นก็คือกำจัดสัตว์ปีกในรัศมี 5 กม. จากจุดที่ตรวจพบเชื้อ (พื้นที่สีแดง) เฝ้าระวังและห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกในรัศมี 50 กม. จากจุดที่ตรวจพบเชื้อ (พื้นที่สีเหลือง) และหากสุ่มตรวจทุก 7 วัน จนครบ 21 วันแล้วไม่พบเชื้อก็จะประกาศให้เป็นพื้นที่สีเขียว แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังและห้ามเลี้ยงสัตว์ปีกชุดใหม่อยู่ดีจนกว่าจะครบ 90 วันหลังสัตว์ปีกตัวสุดท้ายตาย หลังจากนั้นจึงจะเลี้ยงสัตว์ปีกชุดใหม่ได้ ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการเรียกความเชื่อมั่นจากกลุ่มประเทศผู้นำเข้าไก่จากบ้านเรา เพราะตอนนี้ทางญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำเข้าไก่อันดับ 1 ของไทย ก็อนุญาตให้นำไก่สุก และไก่กึ่งสุกเข้าจากไทยแล้ว
โดยส่วนตัวของผู้เขียนเองแล้ว มีความเห็นว่าไก่ที่ส่งออก ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะกว่าจะ ‘ผ่านด่าน’ ไปส่งออกกันได้ ผู้ส่งออกก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบมาตรฐานกันจนมั่นใจนั่นละว่า ไก่ที่ส่งออกไป ปลอดภัยไร้โรคจริง ๆ และโดยส่วนใหญ่ ไก่ที่เราส่งออกก็เป็นไก่ฟาร์ม ซึ่งเลี้ยงในระบบปิด มีมาตรฐานความสะอาดค่อนข้างสูงมาก (อย่างที่เห็นในภาพยนตร์โฆษณาของบริษัทผู้ส่งออกยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งนั่นแล) ที่น่าเป็นห่วงจริง ๆ คงเป็นไก่บ้าน ไก่พื้นเมือง และไก่ที่ขายตามท้องตลาดมากกว่า เพราะไม่รู้ว่ามาจากไหน เป็นโรคตายก่อนเอามาขายหรือไม่ ซึ่งตามข้อมูลที่ทางกรมปศุสัตว์ออกมาแถลงสด ๆ ร้อน ๆ ก็ระบุว่าไก่ที่ตรวจพบเชื้อไข้หวัดนกโดยส่วนใหญ่จะเป็นไก่พื้นเมือง หรือไก่บ้านที่เราเลี้ยงแบบปล่อยให้หากินเอง หรือที่ภาษาวิชาการเขาเรียกว่าเลี้ยงในระบบเปิดนั่นเอง
วันนี้ก็เลยได้นำเอา แนวทางปฏิบัติสำหรับประชาชนเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนก ของกระทรวงสาธารณสุขมาฝากกัน แต่ก่อนจะไปถึงแนวทางที่ว่า ก็ขอกล่าวถึงความเป็นมา สาเหตุ และอาการของโรคนี้สักเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจ จะได้ไม่วิตกจริตจนเกินเหตุ เมื่อพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเป็นไข้ไม่สบายในช่วงนี้นั่นเอง
1. เชื้อโรคไข้หวัดนก
|
โรคไข้หวัดนก หรือ BIRD FLU เป็นโรคติดต่อของสัตว์ประเภทนก เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ที่พบในนก ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคในธรรมชาติ ตามปกติโรคนี้ติดต่อมายังคนได้ไม่ง่ายนัก แต่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคอาจติดเชื้อได้ มีรายงานการเกิดโรคในคนครั้งแรกในปี 2540 เมื่อเด็กชายชาวฮ่องกงวัย 3 ขวบ เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่อย่างกระทันหันจากการติดเชื้อไวรัสไก่ ในคราวที่เกิดโรคระบาดของสัตว์ปีกในฮ่องกง ไข้หวัดใหญ่ หรือ Influenza หมายถึง โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza ในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งเป็น RNA ไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม (Envelope) โดยมี Surface Antigens ที่สำคัญ ได้แก่ Hem agglutinin (H) มี15 ชนิด และ Neuraminidase (N) มี 9 ชนิด เชื้อไวรัส Influenza แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม A : แบ่งย่อยเป็นหลาย Subtypes ตามความแตกต่างของ H และ N Antigens พบในคนและสัตว์ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
กลุ่ม B : ไม่มี Subtype พบเฉพาะในคน
กลุ่ม C : ไม่มี Subtype พบในคนและสุกร
เชื้อไวรัสนี้มีเปลือกหุ้มจึงถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (เช่น ที่อุณหภูมิ 56๐C นาน 3 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 60๐C นาน 30 นาที เป็นต้น) และสารเคมีต่าง ๆ เช่น สารที่มีคุณสมบัติในการละลายไขมัน (Lipid Solvents), ฟอร์มาลีน (Formalin), Betapropiolactone, Oxidizing Agents, Sodium Dodecylsulfate, Hydroxylamine, Ammonium Ions และ Iodine Compounds แต่เชื้อนี้สามารถคงอยู่ได้นานในสิ่งขับถ่าย เช่น น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย เสมหะ อุจจาระ เป็นต้น แถมเชื้อนี้ยังสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง Antigenicity ได้ง่าย โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่ยีนเพียงเล็กน้อย (Antigenic Drift) หรือมีการเปลี่ยนยีนในกรณีที่เซลล์มีการติดเชื้อ 2 Subtype ที่แตกต่างกัน กลายเป็น Subtype ใหม่ (Antigenic Shift) พูดง่าย ๆ ว่ามันกลายพันธุ์ได้นั่นเอง |
การติดเชื้อในสัตว์ปีก (Avian Influenza) แบ่งออกเป็น
|
1. Apathogenic and Mildly Pathogenic Avian Influenza เป็นชนิดที่ไม่แสดงอาการ และที่ทำให้มีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย พบได้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอาจมีสาเหตุจากเชื้อชนิด H1-15
2. Highly Pathogenic Avian Influenza (HPAI) หรือเดิมเรียกว่า Fowl Plague เป็นชนิดที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงมากมีอัตราการตายสูง มีรายงานการระบาดในบางประเทศเท่านั้น เช่น สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก ประเทศยุโรป ออสเตรเลีย ฮ่องกง และปากีสถาน ในประเทศไทยไม่เคยมีการระบาดของโรคนี้ แม้ว่าจะเป็นโรคในพระราชบัญญัติโรคสัตว์ พ.ศ.2499 ก็ตาม
ความแตกต่างของ Basic Amino Acids (Lysine, Arginine) ระหว่างเชื้อชนิดไม่รุนแรงและชนิดรุนแรงมากนี่เอง ที่ทำให้ความสามารถในการเจริญเติบโตของเชื้อในร่างกายสัตว์แตกต่างกัน เชื้อชนิดไม่รุนแรงสามารถเจริญได้ในเซลล์ของทางเดินหายใจ และทางเดินอาหารเท่านั้น แต่เชื้อชนิดรุนแรงมากสามารถเจริญในเซลล์อวัยวะอื่น ๆ ได้ จึงทำให้เกิดอาการป่วยอย่างรุนแรง การแพร่เชื้อจากสัตว์ที่ติดเชื้อทางสิ่งขับถ่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะทางอุจจาระของนกเป็ดน้ำ ซึ่งมักเป็นตัวอมเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ (หรือที่ศัพท์วิชาการเรียกว่า ‘แหล่งรังโรค’) ทำให้มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำได้เป็นเวลานาน ซึ่งจากการระบาดครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1983-1984 ได้มีรายงานการพบเชื้อทั้งที่เปลือกไข่และภายในไข่จากแม่ไก่ที่ติดเชื้อ การติดต่อในสัตว์เกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงโดยการสัมผัสกับสัตว์ป่วยและสิ่งขับถ่ายจากสัตว์ป่วย และทางอ้อมจากเชื้อที่ปนเปื้อนในน้ำ อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า พาหนะ และอื่น ๆ ระยะการฟักตัวของโรคอาจสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 3 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ วิธีการที่ได้รับเชื้อ จำนวนเชื้อ และชนิดของสัตว์ ส่วนอาการของโรคจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดสัตว์ อายุ สภาวะความเครียด โรคแทรกซ้อน และอื่น ๆ เชื้อที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงในสัตว์ปีกชนิดหนึ่งอาจไม่ทำให้เกิดอาการใด ๆ ในสัตว์ปีกอีกชนิดหนึ่ง อาการที่พบโดยทั่วไป ได้แก่
ส่วนลักษณะผิดปกติที่พบ จะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ ชนิดสัตว์ และปัจจัยอื่น ๆ เช่นเดียวกัน ในรายที่รุนแรงและตายทันทีอาจไม่พบลักษณะผิดปกติใด ๆ ลักษณะผิดปกติที่มักพบในไก่และไก่งวง ได้แก่
สำหรับโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกัน มีดังนี้
นอกจากนกเป็ดน้ำแล้ว สัตว์รังโรคโดยธรรมชาติ ก็ได้แก่บรรดานกอพยพ และนกตามธรรมชาติทั้งหลายนั่นเอง ส่วนเป็ด ไก่ในฟาร์มและในบ้านสามารถติดเชื้อและแสดงอาการป่วยได้ |
2. วิธีการติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน
|
คนสามารถติดเชื้อจากสัตว์ได้ทั้งทางตรงจากการสัมผัสสัตว์ป่วยโดยตรง และทางอ้อมจากการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากสัตว์ที่เป็นโรคเช่นอุจจาระ น้ำมูก น้ำตา น้ำลายของสัตว์ป่วย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีรายงานการติดต่อโรคนี้ระหว่างคนสู่คน |
3. การควบคุมการระบาดของโรค
|
3.1 มาตรการสำหรับฟาร์มไก่พื้นเมือง
3.2 มาตรการสำหรับฟาร์มไก่เนื้อและไก่ไข่
3.3 ผู้รับซื้อสัตว์ปีก
3.4 โรงฆ่าสัตว์ปีก
|
4. วิธีการทำลายเชื้อ
|
4.1 ยานพาหนะ
4.2 วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงเรือน แช่อุปกรณ์ต่าง ๆ ในน้ำยาฆ่าเชื้อกลุ่มคลอรีน กลุ่มควอเตอร์นารีแอมโมเนียม กลุ่มฟีนอลหรือกลุ่มกลูตาราลดีไฮด์
4.3 โรงเรือน ฉีดพ่นบริเวณโรงเรือนและรอบโรงเรือนทุกวัน เช้า-เย็น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเช่นเดียวกับที่ใช้ฉีดพ่นยานพาหนะ
4.4 ถาดไข่
4.5 ไข่
|
5. การเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนก
|
แม้จะไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในอดีตที่ผ่านมา แต่นักการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า หากเชื้อไข้หวัดนกในคนเกิดการกลายพันธุ์อันเนื่องมาจากการผสมสารพันธุกรรมกับไข้หวัดที่พบในคน (Reassortment) ก็อาจจะเกิดการติดต่อจากคนสู่คนได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดการระบาดใหญ่ไปทั่วโลก (Pandemic) จึงได้มีมาตรการทางด้านการเฝ้าระวังโรค โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายของการระวังโรคเป็น 3 ระดับดังนี้ 5.1 ผู้ป่วยที่สงสัย (Suspect) ได้แก่ ผู้ที่มีอาการหรืออาการแสดงต่อไปนี้
5.2 ผู้ป่วยที่น่าจะเป็น (Probable) ได้แก่ ผู้ป่วยที่สงสัยตามนิยามข้างต้นร่วมกับการตรวจดังต่อไปนี้
5.3 ผู้ป่วยที่ยืนยัน (Confirm) ได้แก่ ผู้ป่วยที่น่าจะเป็นและมีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติต่อไปนี้สนับสนุน
|
6. การรักษาโรคในคน
|
เหมือนกับการรักษาไข้หวัดใหญ่ทั่วไป คือ ใช้ยา Amantadine Hydrochloride หรือยา Rimantadine Hydrochloride ภายใน 48 ชั่วโมง นาน 3-5 วัน จะช่วยลดอาการและจำนวนเชื้อไวรัสชนิด A ในสารคัดหลั่งที่ทางเดินหายใจได้ ขนาดยาที่ใช้ ในเด็กอายุ 1-9 ปี ให้ขนาด 5 มก./กก./วัน แบ่งให้ 2 ครั้ง นาน 2-5 วัน ผู้ป่วยสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่การทำงานของตับหรือไตผิดปกติ ต้องลดขนาดยาลง |
7.1 ผู้บริโภคไก่และผลิตภัณฑ์จากไก่
7.2 ผู้ประกอบอาหาร
ผู้ประกอบอาหารทั้งเพื่อการจำหน่ายและแม่บ้านที่เตรียมอาหารในครัวเรือน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อจากอาหาร กระทรวงสาธารณสุขขอเน้นการป้องกัน ดังนี้
7.3 ผู้ชำแหละไก่
ผู้ชำแหละไก่อาจมีความเสี่ยงจากการติดโรคจากสัตว์ จึงควรระมัดระวังขณะปฏิบัติงาน ดังนี้
7.4 ผู้ขนย้ายสัตว์ปีก
ผู้ขนย้ายสัตว์ปีกควรระมัดระวังตนเองไม่ให้ติดโรคจากสัตว์ และป้องกันการนำเชื้อจากฟาร์มหนึ่งไปยังแพร่ยังฟาร์มอื่น ๆ จึงควรเน้นการปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
7.5 เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่
เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพเลี้ยงไก่ รวมทั้งผู้เลี้ยงสัตว์ และผู้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ในฟาร์มที่มีการะบาด เป็นกลุ่มประชาชนที่เสี่ยงต่อการติดโรคจากสัตว์ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
7.6 การป้องกันโรคให้แก่เด็ก
7.7 คำแนะนำทั่วไปในการรักษาสุขภาพและพฤติกรรมอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อ
7.8 ข้อแนะนำขั้นตอนการล้างตลาดอย่างถูกหลักสุขาภิบาลในช่วงการเกิดโรคระบาด
|